เริ่มจาก คำว่า ปฏิวัติ (อังกฤษ: revolution) หมายถึง
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากระบบเดิม ยกเลิกระบบเดิม ใช้ระบบใหม่
เป็นการอธิบายว่ามีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ในทางการเมือง
การปฏิวัติ คือ การยึดอำนาจจากผู้ปกครองเดิม
แล้วทำการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง แตกต่างจากการก่อรัฐประหาร
ที่หมายถึงการล้มล้างรัฐบาลที่บริหารปกครองรัฐในขณะนั้น
แต่มิใช่การล้มล้างระบอบการปกครองหรือรัฐทั้งรัฐเสมอไป
นั้นจึงเป็นเพียงการยึดอำนาจปกครอง
แต่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง และรูปแบบสุดท้ายนั้นก็คือ
การกระทำที่มีเจตนาเช่นเดียวกับการรัฐประหารและปฏิวัติเพียงแต่กระทำการไม่
สำเร็จ บทลงโทษสำหรับผู้แพ้นั้นก็คือ การถูกบันทึกว่าเป็น "กบฏ" สถานเดียว
จึงจะเห็นได้ว่า
แม้รูปแบบในการเข้ายึดอำนาจจะเป็นการเข้ามาไม่แตกต่างกันนัก
แต่การที่จะถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์อย่างไรนั้น
ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ของปฏิบัติการนั้นเอง
ในอดีตก่อนที่จะมีการ "การปฏิวัติสยาม"
ก็ได้มีความพยายามจะเปลี่ยนแปลงการปกครองมาก่อนหน้านี้เช่นกัน ย้อนไป 24
(พ.ศ. 2455) ปีก่อนการการปฏิวัติสยาม ได้เกิด กบฏ ร.ศ. 130
ขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 ครั้งนั้น
นายทหารและปัญญาชนกลุ่มหนึ่ง
ต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบประชาธิปไตย
แต่แผนการแตกเสียก่อน
ผู้ก่อการในครั้งนั้นได้รับโทษประหารชีวิตเเละขังคุกกันตามสภาพความผิด
แต่ด้วยพระบารมีพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระบรมราช
วินิจฉัย มีพระบรมราชโองการพระราชทานอภัยโทษ ละเว้นโทษประหารชีวิต
ด้วยทรงเห็นว่า ทรงไม่มีจิตพยาบาทต่อผู้คิดประทุษร้ายแก่พระองค์
ทุกนจึงได้รับการลดหย่อนโทษตามสมควร
กลับมาที่ "การปฏิวัติสยาม" ซึ่งคณะ" คณะราษฎร "
ได้ให้เหตุผลในการก่อเหตุครั้งนั้นว่าสืบเนื่องมาจากสาเหตุหลายประการ
ทั้งความเสื่อมโทรมของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ความไม่พอใจที่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่มักเอาแต่ทำตัวให้เป็นที่โปรดปรานของ
พระเจ้า ดังที่ระยาทรงสุรเดชเองเคยพูดว่า
"พวกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่แทบทั้งหมด
มุ่งแต่เพียงทำตัวให้โปรดปรานไว้เนื้อเชื่อใจจากพระเจ้าแผ่นดินไม่ว่าด้วย
วิธีใด ตลอดทั้งวิธีที่ต้องสละเกียรติยศด้วย..."
อีกทั้งตอนนั้นทั่วโลกก็มีกระแสการโค่นล้มระบอบกษัตริย์เกิดขึ้น เช่น
รัสเซีย จีน หรือเยอรมนี
การได้รับอิทธิพลทางการเมืองแบบประชาธิปไตยของประเทศตะวันตก
ในเหล่านักศึกษาไทยที่ไปศึกษายังต่างประแดน
ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่สืบเนื่องจากเศรษฐกิจของโลกหลังสงครามโลกครั้งที่ 1
และการใช้จ่ายในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว
ความแตกต่างทางฐานะด้านสังคมที่ไม่ยุติธรรมระหว่างข้าราชการที่เป็นเจ้าและ
ที่เป็นสามัญชน
ภาพจาก www.sarakadee.com
"
คณะราษฎร " ที่ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศไทยในครั้งนั้น
เป็นกลุ่มบุคคล 2 กลุ่ม คือกลุ่มนักเรียนไทยในต่างประเทศ
และกลุ่มนายทหารทั้งทหารบกรวมทั้งทหารเรือในประเทศไทย จำนวน 115 คน นำโดย พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน), พลเรือเอก หลวงสินธุสงครามชัย หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (นายปรีดี พนมยงค์)
และหากจะพิจารณาดูแล้วก็จะพบว่าบุคคลทั้ง 2
กลุ่มซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลระดับปัญญาชนที่มีสติปัญญาการศึกษาสูง
ที่ต่างมีพื้นฐานบางประการเหมือนกันนั้นก็คือ
ได้รับอิทธิพลของรูปแบบการปกครองจากประเทศทางตะวันตเมื่อครั้งที่ไปทำการ
ศึกษา
พ.ศ. 2469 ณ หอพัก Rue de summerard กรุงปารีส 7 ปีก่อนทำการปฏิวัติ
ในครั้งนั้นผู้ดูเเลนักเรียนไทยซึ่งเป็นพระราชวงศ์องค์หนึ่งได้แจ้งกลับมา
ยังเมืองไทยว่า มีนักเรียนไทยที่มีแนวคิดเป็นพวกหัวรุนเเรง
จะเป็นภัยต่อประเทศจึงเห็นว่าควรให้บางคนกลับประเทศไทยเสีย
ทางด้านนักเรียนไทยเองก็มีความไม่พอใจในสถาณการณ์บ้านเมืองอยู่เเล้ว
การรวมกลุ่มเพื่อผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงได้ขึ้นที่กรุงปารีส
ประเทศฝรั่งเศส มาตั้งแต่ พ.ศ. 2469
ภาพหมู่ คณะราษฎร ถ่ายที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส เมื่อ พ.ศ. 2468 ในการพบปะเพื่อเตรียมการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
คณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองได้ประชุมกันเป็นครั้งแรกที่หอพัก Rue Du
Somerard กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ผู้เข้าร่วมประชุมมี 7 คน ประกอบไปด้วย
ร.ท.ประยูร ภมรมนตรี (นายทหารกองหนุน
อดีตผู้บังคับหมวดทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์รัชกาลที่ 6) ร.ท. แปลก
ขีตตะสังคะ (หลวงพิบูลสงคราม กำลังศึกษาวิชาทหารปืนใหญ่ในโรงเรียนนายทหาร)
ร.ต. ทัศนัย มิตรภักดี (ศึกษาวิชาการทหารม้าในโรงเรียนนายทหารของฝรั่งเศส)
นายตั้ว ลพานุกรม (นักศึกษาวิทยาศาสตร์ระดับปริญญาเอกในสวิตเซอร์แลนด์)
หลวงศิริราชไมตรี (จรูญ สิงหเสนี ผู้ช่วยเลขานุการทูตสยามประจำกรุงปารีส)
นายแนบ พหลโยธิน (เนติบัณฑิตอังกฤษ) และนายปรีดี พนมยงค์
(ดุษฎีบัณฑิตกฎหมายฝ่ายนิติศาสตร์ ฝรั่งเศส)
ภายหลังการประชุมที่ยืดเยื้อถึง 5 วัน ก็ได้มีมติให้นายปรีดี เป็นประธาน
และหัวหน้าคณะราษฎร จนกว่าจะมีบุคคลที่เหมาะสม
โดยตกลงที่จะทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากรูปแบบกษัตริย์เหนือกฏหมายมาเป็น
การปกครองที่มีกษัตริย์ใต้กฏหมาย โดยใช้วิธีการ "ยึดอำนาจโดยฉับพลัน" "
และจากประสบการณ์ของ กบฎ ร.ศ.130
ทำให้คณะผู้ก่อการยึดอำนาจการปกครองในครั้งนี้ได้ทำการวางแผนการด้วยความ
รัดกุมอย่างยิ่ง
24 มิถุนายน 2475
ก่อนการปฏิวัติ"คณะราษฎร"ได้มีการประชุมเพื่อวางแผนกันหลายครั้ง
หากว่ามีความเสี่ยงสูงก็ต้องยอมยกเลิกแผนการนั้นไปก่อน
จนกระทั่งถึงครั้งที่เห็นชอบกันว่ามีความพร้อมมากที่สุด นั้นคือ
จะทำการปฏิวัติในเช้าวันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475
เพราะในวันนี้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จแปรพระราชฐานประทับที่
พระราชวังไกลกังวล จึงทำให้ในกรุงเทพฯ
เหลือข้าราชการเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
การปฏิวัติครั้งสำคัญครั้งนี้ ได้ทำการประชุมวางแผนกัน ณ บ้านของ ร.ท.
ประยูร ภมรมนตรี ในวันที่12 มิถุนายน 2475
โดยมีเป้าหมายสำคัญในการวางแผนควบคุมสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต
ซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการรักษาพระนคร และมีการแบ่งงานให้แต่ละกลุ่มออกเป็น
4 หน่วยด้วยกัน คือ
หน่วยที่ 1 เริ่มปฏิบัติการตั้งแต่เวลา 06.00 น.ทำหน้าที่ทำลายการสื่อสารและการคมนาคมที่สำคัญ เช่น โทรศัพท์ โทรเลข รวมทั้งคอยกันมิให้รถไฟจากต่างจังหวัดสามารถแล่นเข้ามาได้
หน่วยที่ 2 เริ่มงานตั้งแต่เวลา 01.00 น.
ทำหน้าที่ควบคุมตัวเจ้านายและบุคคลสำคัญต่าง ๆ เช่น
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต
จากวังสวนผักกาดมายังพระที่นั่งอนันตสมาคม พระประยุทธอริยั่น
จากกรมทหารบางซื่อ
รวมทั้งวางแผนให้เตรียมรถยนต์สำหรับลากปืนใหญ่มาตั้งเตรียมพร้อมไว้
โดยทำทีท่าเป็นตรวจตรารถยนต์
หน่วยที่ 3 เป็นหน่วยปฏิบัติการเคลื่อนย้ายกำลัง ซึ่งทำหน้าที่ประสานทั้งฝ่ายทหารบกและทหารเรือ เช่น ทหารเรือจะติดไฟเรือรบ และเรือยามฝั่ง ออกเตรียมปฏิบัติการณ์ตามลำน้ำได้ทันที
สุดท้าย หน่วยที่ 4 อันถือว่าเป็น " มันสมอง " โดยมี นายปรีดี พนมยงค์ เป็นหัวหน้า ทำหน้าที่ร่างคำแถลงการณ์ ร่างรัฐธรรมนูญ และหลักกฎหมายปกครองประเทศต่าง ๆ รวมทั้งเตรียมการเจรจากับต่างประเทศหลังการปฏิบัติการสำเร็จ
ในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎร โดยพระยาทรงสุรเดช
อาศัยความเป็นอาจารย์ใหญ่ที่สอนนักเรียนที่โรงเรียนนายร้อย
ใช้กลลวงนำทหารบกและทหารเรือมารวมตัวกันบริเวณรอบ พระที่นั่งอนันตสมาคม
ประมาณ 2000 คน ตั้งแต่เวลาประมาณ 5 นาฬิกา
โดยอ้างว่าเพื่อฝึกยุทธวิธีทหารราบต่อสู้รถถัง
จากนั้นนายพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ได้อ่าน ประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1 ณ
บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เสมือน ประกาศยึดอำนาจการปกครอง
แผนการในครั้งนี้สำเร็จลง เป็นไปอย่างรวดเร็วไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อ
ด้วยการวางแผนที่แยบยล ตั้งแต่การจับตัวประกัน การตัดการสื่อสาร
และที่สำคัญการลวงทหาร
ดังที่พระยาทรงสุรเดชได้บันทึกเหตุการณ์ครั้งนี้ไว้ชัดเจนว่า
"เป็นเพราะนายทหาร นายสิบ
พลทหารเหล่านั้นเห็นด้วยในการปฏิวัติหรือ...เปล่าเลย ทั้งนายทหาร นายสิบ
พลทหาร ไม่มีใครรู้เรื่องอะไรเลย ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่มีใครเคยได้เห็นได้รู้
การปฏิวัติทำอย่างไร เพื่ออะไร มีแต่ความงงงวยเต็มไปด้วยความไม่รู้
และข้อนี้เองเป็นเหตุสำคัญแห่งความสำเร็จ !
สำหรับพลทหารทั้งหมดไม่ต้องสงสัยเลย
เขาทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาของเขาโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
เขาถูกฝึกมาเช่นนั้น
และหากนายทหารอื่นมาสั่งให้ทำโดยอ้างว่าเป็นคำสั่งของผู้บังคับบัญชา
เขาก็ทำเช่นเดียวกัน ทำไมเขาจะไม่ทำ เพราะในชีวิตเป็นทหารของเขา
เขายังไม่เคยถูกเช่นนั้น เพราะฉะนั้นเขาจะรู้ไม่ได้เลยว่าเป็นการลวง
ในเมื่อเขาโดนเป็นครั้งแรก
...นายทหารทั้งหมดส่วนมากได้เรียนในโรงเรียนนายร้อยในสมัยที่ผู้อำนวยการ
ฝ่ายทหารเป็นอาจารย์ใหญ่ เพราะฉะนั้นจึงมีความเคารพและเกรงในฐานผู้ใหญ่"
ภาพจาก สถาบันพระปกเกล้า
ด้วยพระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์สมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงเห็นแก่ความสงบเรียบร้อยของอาณาประชาราษฎร ไม่ต้องการให้เสียเลือดเนื้อ
และบ้านเมืองต้องได้รับความเสียหาย
อีกทั้งพระองค์เองก็ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบ
ประชาธิปไตยอยู่ก่อนแล้ว
จึงไม่ทรงขัดความปรารถนาของคณะราษฎรที่ได้กราบบังคมทูลเชิญเป็นพระมหา
กษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ
หลังยึดอำนาจสำเร็จ วันที่ 26 มิถุนายน 2475
ผู้แทนคณะราษฏรได้เดินทางเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 7 ณ วังศุโขทัย นำเอกสารสำคัญขึ้นทูลเกล้าเพื่อลงพระปรมาภิไธย
ประกาศใช้เป็นกฎหมาย โดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ลงพระปรมาภิไธยในธรรมนูญการปกครองประเทศ โดยทรงเพิ่มคำว่า "ชั่วคราว"
ต่อท้ายธรรมนูญการปกครองฯ ในวันที่ 27 มิถุนายน
สภาผู้แทนราษฎรสมัยแรกตามธรรมนูญการปกครองฯ มีพระยามโนปกรณ์นิติธาดา
นายกรัฐมนตรี คนแรกของประเทศไทยและมีนายปรีดี
เป็นเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรคนแรกของสภาผู้แทนราษฎร และในวันที่ 10
ธันวาคม พ.ศ. 2475 ได้ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ณ
พระที่นั่งอนันตสมาคม
การปฏิวัติ 24 มิถุนายน 2475 ภายใต้การนำของคณะราษฎร
เป็นไปเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบ
ประชาธิปไตย
อำนาจอธิปไตยซึ่งเดิมเป็นของกษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ให้มาเป็นของประชาชน และยกกษัตริย์ขึ้นเป็นประมุขของประเทศ โดยไม่มี
พระราชอำนาจในทางการบริหารบ้านเมืองอย่างแท้จริง
หากเป็นสัญลักษณ์และศูนย์รวมจิตใจของคนในชาติ
การกระทำของกษัตริย์ในทางการเมืองต้องมีผู้ลงนามสนองพระบรมราชโองการเสมอ
นั่นคือ ผู้ลงนามสนองฯเป็นผู้กระทำและรับผิดชอบ
ส่วนการกระทำของกษัตริย์เป็นแต่เพียงในนามเท่านั้น และมีหลัก 6
ประการเป็นเป้าหมาย อันประกอบด้วย เอกราช, ความปลอดภัย,
ความสมบูรณ์ทางเศรษฐกิจ, ความเสมอภาค, เสรีภาพ และการศึกษา
หลักฐานแห่งประวัติศาสตร์ในเหตุการณ์ครั้งนี้
ได้ถูกถ่ายทอดมาถึงปัจจุบันบนลานบนลานพระบรมรูปทรงม้า ด้านสนามเสือป่าเป็น
สมุดทองเหลือง ฝังอยู่กับพื้นถนน เขียนไว้ว่า “ณ ที่นี้ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕
เวลาย่ำรุ่ง คณะราษฎร ได้ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญ เพื่อความเจริญของชาติ”
ภายหลังการปฏิวัติที่สำเร็จลง ก็ใช่ว่าเหตุการณ์บ้านเมืองจะสงบลงเอยด้วยดี ยังการต่อสู้ทางการเมืองของผู้มีอุดมการณ์ที่แตกต่างกันทั้ง ผู้นำในระบบเก่าที่ยึดมั่นในทาง(สมบูรณาญาสิทธิราชย์) กับระบอบใหม่ (ประชาธิปไตย) รวมทั้งในกลุ่มคณะราษฎรเองก็มีความขัดแย้งกันในภายหลังอย่างรุ่นเเรงเช่นกัน
สิ่งที่เราได้จากวันที่ 24 มิถุนา 2475 คือ
การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่การปกครองในระบอบ
ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
ภายใต้รัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฏหมายสูงสุดของประเทศ
แต่ประชาธิปไตยจะก้าวไปในทิศทางใดขึ้นอยู่กับผู้ใช้ในปัจจุบัน
เบื้องหน้าเบื้องหลังการปฏิวัติ กบฏ หรือรัฐประหารในแต่ละครั้งที่เกิดขึ้น กับสิ่งที่เรารับรู้ย่อมเป็นไปอย่างหลากหลาย ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า ใครคือผู้ครอบครอบ "อำนาจ"ในการเปิดเผยประวัติศาสตร์ในขณะนั้นๆ
แต่สิ่งหนึ่งที่เราไม่อาจละเลยได้ นั้นก็คือ ส่วนหนึ่งของ พระราชหัตถเลขาฉบับประวัติศาสตร์ว่าของ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้ง ได้ทรงสละราชสมบัติ ในวันที่ 2 มีนาคม 2477 ความว่า
"…ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจ
อันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป
แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด
โดยเฉพาะเพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาด
และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาชน"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น